รู้ไว้ก่อนฝากไข่! จะฝากไข่ให้ได้ผลดี ควรเก็บไข่มากน้อยแค่ไหน?

เก็บไข่

            เมื่อการใช้ชีวิตของผู้หญิงยุคนี้เปลี่ยนไป ไม่ว่าจะเป็นการรักชีวิตโสด แต่งงานช้า และไม่ได้อยากมีลูกเร็วเกินไป ทำให้การรักษาผู้มีบุตรยากด้วยวิธีการแช่แข็งเซลล์ไข่ (Oocyte Cryopreservation/ Egg Freezing) หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า “ฝากไข่” กลายเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ในผู้หญิงอายุไม่เกิน 35 ปี

            อย่างไรก็ตาม กว่าที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะฝากไข่ได้เสร็จสิ้นสมบูรณ์ และทำให้เซลล์ไข่พร้อมสำหรับการตั้งครรภ์ จำเป็นต้องผ่านขั้นตอนต่างๆ มากมาย โดยหนึ่งในขั้นตอนที่ควรให้ความสำคัญมากที่สุด คือ การเก็บไข่

            การเก็บไข่สำคัญอย่างไร? ผู้หญิงคนหนึ่งควรเก็บไข่ให้ได้มากน้อยแค่ไหนถึงจะเหมาะสม? บทความนี้มีคำตอบ

ทำไมใครๆ ถึงเลือกฝากไข่ก่อนอายุ 35 ปี?

            อย่างที่เราทราบกันดีว่า ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการตั้งครรภ์ในผู้หญิงคือ “อายุ” เมื่อผู้หญิงอายุมากขึ้น จะทำให้อวัยวะต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการตั้งครรภ์มีอายุมากขึ้น และค่อยๆ เสื่อมสภาพลง

โดยหนึ่งในอวัยวะที่ค่อยๆ เสื่อมลงอย่างเลี่ยงไม่ได้ก็คือ “เซลล์ไข่” เมื่อเซลล์ไข่เสื่อมลงแล้ว จะทำให้มีจำนวนไข่ในรังไข่น้อยลง และคุณภาพของไข่ก็จะลดลงด้วย ซึ่งทั้งหมดจะส่งผลให้ผู้หญิงตั้งครรภ์ได้ยากขึ้น

            ดังนั้นถ้าไม่อยากให้เซลล์ไข่เสื่อมสภาพไปตามอายุร่างกาย และยังคงตั้งครรภ์ได้ ผู้หญิงหลายคนจึงเลือกที่จะนำเซลล์ไข่ของตัวเอง ไปเข้าสู่กระบวนการฝากไข่ตั้งแต่อายุไม่เกิน 35 ปี และเมื่อมีความพร้อมที่จะตั้งครรภ์แล้ว ก็ค่อยนำเซลล์ไข่ที่ฝากไว้ ไปเข้าสู่กระบวนการทำเด็กหลอดแก้วแบบ IVF หรือ ICSI ต่อไปได้

ขั้นตอนการฝากไข่มีอะไรบ้าง

            กว่าจะฝากไข่ได้แบบเสร็จสิ้นสมบูรณ์ ไม่ใช่เรื่องง่าย และต้องใช้เวลาค่อนข้างมาก ดังนี้

1. ปรึกษาแพทย์ (Consultation) เพื่อตรวจร่างกาย เลือด และฮอร์โมนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการตั้งครรภ์

2. ฉีดกระตุ้นรังไข่ ตรวจติดตามอาการ (Ovarian Stimulation)

3. การเก็บไข่ (Egg Retrieval) แพทย์จะนำเข็มสอดเข้าไปที่รังไข่ เพื่อดูดเซลล์ไข่ออกมา

4. แช่แข็งไข่ (Embryo Freezing) คือการนำเอาหลอดแก้วที่บรรจุเซลล์ไข่ไว้ นำไปไปแช่แข็งในอุณหภูมิที่เหมาะสม

            ซึ่งขั้นตอนทั้งหมด อาจใช้เวลานานนับเดือน ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกาย และการตอบสนองต่อยา ของผู้ฝากไข่

การเก็บไข่สำคัญอย่างไร

            สำหรับเหตุผลที่ทำให้การเก็บไข่สำคัญ ก็เพราะว่ามันเป็นขั้นตอนสุดท้าย ก่อนที่จะเข้าสู่กระบวนการแช่แข็งไข่นั่นเอง ถ้าเก็บไข่ได้หลายใบ ก็จะทำให้แช่แข็งได้หลายใบตามไปด้วย ซึ่งนั่นเท่ากับการมีโอกาสตั้งครรภ์ได้มากขึ้น

จะฝากไข่ให้ได้ผลดี ควรเก็บไข่มากน้อยแค่ไหน?

            ข้อมูลเกี่ยวกับจำนวนไข่ที่ควรเก็บได้ในขั้นตอนการเก็บไข่ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากศูนย์รักษาผู้มีบุตรยากเจตนิน ให้ข้อมูลไว้ว่า การจะตั้งครรภ์ให้สำเร็จ 1 ครั้ง ควรมีไข่คุณภาพดี แช่แข็งไว้อย่างน้อย 10-15 ใบ และไข่นั้นควรมาจากคนที่อายุน้อยกว่า 35 ปี (ฝากไข่ก่อนอายุ 35 ปี)

            ส่วนสาเหตุที่ต้องเก็บไข่ให้ได้มากกว่า 10-15 ใบ มาจากการที่ความสำเร็จของการตั้งครรภ์ ขึ้นอยู่กับจำนวนและคุณภาพไข่ ณ ช่วงอายุที่แช่แข็ง นอกจากนั้น ปัจจุบันแพทย์จะนิยมใช้การแช่แข็งไข่ด้วยวิธี Vitrification ซึ่งมีข้อมูลที่น่าสนใจคือ ในขั้นตอนการละลายไข่หลังทำ Vitrification การนำไข่ไปปฏิสนธิกับอสุจิด้วยวิธี IVF หรือ ICSI การเลี้ยงตัวอ่อน ไปจนถึงการนำตัวอ่อนไปตรวจคัดกรองโครโมโซม จะพบว่ามีตัวอ่อนที่พร้อมสำหรับการตั้งครรภ์ค่อยๆ ลดลง

หมายเหตุ

Vitrification คือ การแช่แข็งไข่โดยลดอุณหภูมิลงอย่างรวดเร็ว 15,000 – 30,000°c/min. และใช้สารป้องกันการเกิดผลึกน้ำแข็งที่มีความเข้มข้นสูง เพื่อทำให้ของเหลวภายในเซลล์ไข่ไม่เกิดความเสียหาย

บทสรุป

ถ้าผู้ฝากไข่เริ่มฝากไข่ตั้งแต่อายุยังน้อย และสามารถเก็บไข่ไปแช่แข็งได้มากถึง 10-15 ใบ ก็จะทำให้มีตัวอ่อนที่แข็งแรง สมบูรณ์ เพียงพอกับการตั้งครรภ์ให้ประสบความสำเร็จ

รับคำปรึกษาเรื่องการเก็บไข่และฝากไข่ได้ที่ https://jetanin.com/th/